ข้อดีของธุรกิจ SME คือเป็นธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ การตัดสินใจหรือการปรับเปลี่ยนจะทำได้รวดเร็วและคล่องตัว แต่ธุรกิจ SME ก็มีข้อจำกัดอยู่หลายด้าน เช่น ด้านเงินทุน ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และทรัพยากร ซึ่งทำให้ธุรกิจ SME ไม่มีโอกาสได้ลองผิดลองถูกเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะทุกอย่างที่ลงทุนไปเป็นต้นทุนของธุรกิจทั้งสิ้น รวมถึงการตลาดที่เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับธุรกิจ แต่จะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดบนงบประมาณจำกัด ลองมาดู 4 กลยุทธ์การทำตลาดแบบฉบับ SME นี้ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจ SME ได้มากขึ้น
ธุรกิจ SME ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดเรื่องของงบประมาณ ไม่ควรคิดใหญ่เหมือนธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ เพราะเป้าหมายในการทำตลาดของธุรกิจต่างกัน เป้าหมายของธุรกิจ SME คือ การทำตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายให้เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ดังนั้น วิธีการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ หรือการทำโปรโมชั่นอะไรก็ตามจะต้องตรงตามวัตถุประสงค์ สื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและชัดเจน โดยมุ่งไปสู่การขายเป็นหลักเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพราะธุกิจ SME ต้องการเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจต่อไป
การสร้างแบรนด์อาจเป็นเรื่องไกลตัวและใช้งบประมาณสูงสำหรับธุรกิจ SME แต่ในปัจจุบันเราสามารถสร้างเรื่องราวเพื่อสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจเราได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าจดจำและเพิ่มคุณค่าในใจลูกค้า โดยเราต้องรู้ว่าจุดเด่นสินค้าของเราคืออะไร แล้วนำจุดเด่นนั้นมาสร้างเรื่องราวให้กับสินค้า เช่น ร้านเมากาแฟ ธุรกิจที่เกิดจากการรวมตัวกันของ K SME Network ภาคเหนือ เปิดร้านเพียงเดือนแรกยอดขายถล่มทลาย มีคนพูดถึงใน Social Network จำนวนมาก โดยไม่ต้องทำการประชาสัมพันธ์ เพราะเมากาแฟมีการสร้างเรื่องราว ตั้งแต่ชื่อร้านคำว่า "เมา" ในภาษาเหนือหมายถึง ชอบมากๆ แต่ในภาษากลาง คือ อาการที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการตั้งชื่อเครื่องดื่มว่า เมากาแฟ เมานม และเมาช็อก ซึ่งใส่แอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมและเพิ่มลูกเล่นให้ลูกค้าผสมกาแฟกับนมที่ทางร้านใส่ขวดเหล้าขนาดเล็กมาให้ การสร้างเรื่องราวและประสบการณ์ให้ลูกค้า ทำให้ร้านเมากาแฟเป็นที่รู้จักทั้งในเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวภายในเวลาอันรวดเร็ว จากการโฆษณาแบบปากต่อปากของลูกค้า โดยที่แบรนด์ไม่ต้องเสียงบประมาณเลย
การหาพันธมิตรเพื่อทำการตลาดร่วมกัน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ได้ประโยชน์จากการทำการตลาดมากขึ้น และมีต้นทุนต่ำลง ซึ่งพันธมิตรที่เลือกจะเป็นผู้ที่ขายสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน โดยนำสินค้าของแต่ละคนมาจัดโปรโมชั่นหรือขายคู่กัน หรือขายไปในช่องทางเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เจคิวปูม้านึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจขายอาหารออนไลน์และจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าถึงบ้าน ซึ่งตอนนี้ได้พันธมิตร ได้แก่ หมูทอดเจ๊จง และ ร้านต้มยำกุ้งพี่อ้อ ร้านอาหารที่ชื่อดังที่มีลูกค้าจำนวนมากมาขายผ่านช่องทางของเจคิวปูม้านึ่ง ซึ่งในมุมของลูกค้าก็ได้ประโยชน์จากการมีอาหารให้เลือกหลากหลายขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย
เพราะธุรกิจ SME มีงบประมาณในการทำตลาดจำกัด ดังนั้นปัญหาที่สำคัญคือ สินค้าและบริการจึงไม่เป็นที่รู้จัก เวลาออกสินค้ามาใหม่จะทำตลาดแบบ Mass ก็ทำไม่ได้เพราะมีต้นทุนสูง สำหรับธุรกิจ SME การทำตลาดจึงควรเริ่มทำกับฐานลูกค้าปัจจุบันก่อน เช่น ถ้าเรามีฐานลูกค้าปัจจุบันจำนวน 3,000 ราย เราก็สามารถสื่อสารโดยประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ หรือแจกสินค้าตัวอย่างให้ลูกค้าในกลุ่มนี้ได้ทดลองใช้ก่อน ซึ่งพอลูกค้าได้ทดลองใช้ เราก็สามารถสอบถามและรู้ถึงผลตอบรับ เพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าและการบริการต่อไปได้ หรือ หากสินค้าและบริการเป็นที่พอใจ ก็จะถูกบอกต่อจากลูกค้าอีกด้วย
4 กลยุทธ์การทำตลาดแบบฉบับ SME ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นเรื่องง่ายๆที่ใกล้ตัว แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามไป อยากให้ผู้ประกอบการลองนำไปประยุกด์ใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำตลาดและการใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
31 พฤษภาคม 2561
ผู้ชม 10120 ครั้ง